23 April 2014

นอกเรื่อง ตอน...Hiroshima เมืองประวัติศาสตร์แห่ง Atomic Bomb



               ญี่ปุ่นเป็นเมืองที่มีความ creative หลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรายการทีวี เช่น ทีวีแชมป์เปี้ยน ที่คนไทยติดทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะไม่เพียงแต่เป็นรายการที่ให้ความสนุกสนาน และความรู้สำหรับผู้ชมแล้ว ยังส่งเสริม สนับสนุนอาชีพ ความสามารถ และความสร้างสรรค์ของคนญี่ปุ่นอีกด้วย วันนี้มีโอกาสมาเที่ยวฮิโรชิมา ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งทางตอนใต้ของญี่ปุ่น สังเกตเห็นว่าการ present เมือง แห่งประวัติศาสตร์โศกอนาตกรรมของเค้าทำได้อย่างล้ำลึก และน่าสนใจทีเดียว เมืองนี้ถ้าสังเกตดีๆ จะมีร่องรอยอดีตอยู่ในสถานที่ต่างๆ เช่น หิน, ต้นไม้, รูปปั้น, และอาคาร เป็นต้น  โดยเฉพาะ museum สถานที่พลาดไม่ได้ที่หนึ่งของฮิโรชิมา สิ่งแรกที่เจอคือสิ่งนี้ค่ะ 


แว๊บแรก คือก็เป็นสถาปัตกรรมทั่วไปที่อาจจะมีความหมาย abstract art artเล็กน้อยเหมือนๆกับพวกสถาปัตยกรรมในเมืองนอก แต่พอรู้ความหมายแล้วรู้สึกทึ่งไปเลยทีเดียว ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเค้าตั้งใจทำมาเป็นรูปนาฬิกา เท่านั้นยังไม่พอ นาฬิกาดังกล่าวยังบ่งบอกเวลาเกิดเหตุ คือ 8.15น. เวลาที่ระเบิดนิวเคลียร์ลงฮิโรชิมา ความหมายแฝงยังมีมากกว่านั้นตรงที่หัวนาฬิกา ชี้ไปตรงจุดเกิดเหตุ เท่านั้นยังไม่พอ หิน อิฐ ที่อยู่บริเวณพื้นที่รอบๆน้ำพุ คืออิฐ หรือ กระเบื้องที่แตกจากเหตุการณ์จริง ณ ตอนนั้น ส่วนน้ำพุแสดงถึงเลือด และ น้ำตาของความสูญเสียแม่เจ้า ได้ยินอย่างนี้ไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่ญี่ปุ่นให้กำเนิดโคนัน 5555 เกี่ยวมะ พอเข้าไปข้างในอาคารแรก เป็นลักษณะห้องโถงใหญ่ ภายในตรงกลางห้องมีเจ้านาฬิกาย่อขนาดจากด้านนอกตั้งอยู่ รอบๆมีกระเปื้องเล็กๆถูกทำเป็นรูปตึกต่างๆ แสดงสภาพพื้นที่หลัง  Atomic bomb , ด้านล่างเป็น block ยาวๆ แสดงชื่อเมืองต่างๆของญี่ปุ่น ถ้ามาดูเอง คงจะดูแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้รู้สึกอะไรเพียงแค่เห็นอานุภาพของนิวเคลียร์ที่ทำลายล้างจากรูปบนฝาเท่านั้น แต่ความหมายที่ล้ำลึก เมื่อได้ฟังจากปากไกด์วัย 70 (Kato Sung) ทำให้ความรู้สึกที่กลับออกไปทวีความเศร้ามากกว่าเดิมหลายเท่า ลุงคาโต้บอกว่า block ต่างๆพร้อมรายชื่อจังหวัดนั้นเมื่อดูกลับไปที่เจ้านาฬิกาขนาดย่อส่วนตรงกลางโถง บ่งบอกถึงความใกล้ ไกล ของเมืองที่กระทบจากการโดน bomb รายชื่อเมืองที่อยู่สูงขึ้นไป แทนเมืองที่อยู่ไกลออกไป ส่วนกระเบื้องชิ้นเล็กขนาดประมาณ 4 ตารางเซ็นติเมตร ที่ถูกนำมาประดิษฐ์เป็นรูปภาพนั้น แทน 1 ชีวิตที่ต้องสูญเสียจากเหตุการณ์ครั้งนั้น และกระเบื้องที่นำมาประกอบกันมีจำนวนทั้งสิ้น 140,000 แทน 140000 คน ฟังแค่นี้ ยังรู้สึกขนลุกไม่พอ มากไปกว่านั้นกระเบื้องที่เอามาทำจากส่วนผสมของอิฐจริงที่มาจากเหตุการณ์ bomb เรียกได้ว่า ประวัติศาสตร์ได้ฝังรากลึกลงไปในทุกอณูของสิ่งที่นำมาใช้เล่า และสื่อผ่านออกมาอย่างซาบซึ้งและลงตัว

พอเข้าไปด้านใน museum เค้าได้มีการนำเรื่องราวจริงของหลายๆคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นมาเล่าในรูปแบบต่างๆ แต่ที่น่าขนลุก (อีกแล้ว) คือ ภาพจริง, สิ่งของเครื่องใช้ จริง จากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ซึ่งคนที่มีชีวิตอยู่ต่างบริจาคมาเพื่อนำมาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ตลอดทางเดิน เราจะเห็นทั้งเสื้อเลอะเลือด, ขวดแก้วทรงบิดเบี้ยวที่กำลังจะละลาย, และ นาฬิกาข้อมือของใครคนหนึ่ง ที่หยุดเวลาไว้ที่ 8.15น. เป็นต้น ทุกอย่างมันทำให้เราเห็นภาพ ได้จินตนาการถึงเหตุการณ์จริง มันสลดมากที่เห็นภาพคนกำลังใช้ชีวิตปกติของตน และเพียงเวลาไม่นาน ความสูญเสีย ความหวาดกลัว ความเศร้า การโหยหวนร้องขอความช่วยเหลือดังระงมไปทุกหนทุกแห่ง คนที่โดนรังสีอาการหนักๆคือเนื้อย้อยละลาย, บางคนไหม้ดำ ผิวลอกออกมาเป็นเกล็ด คนที่โชคดีหน่อย คือมีชีวิตอยู่นั้น (ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโชคดีได้รึเปล่า) รังสีเคมีก็เข้าไปในร่างกายค่อยๆทำลายอวัยวะภายใน และอยู่กับพวกเค้าไปจนตายเสียแล้ว

ภาพนึงที่รู้สึกได้เลยถึงความไม่แน่นอนในชีวิต คือภาพจำลองของ shadow เป็นสถานการณ์ที่มีคนคนหนึ่ง กำลังนั่งรอธนาคารเปิดอยู่ที่บันใดซึ่งเป็นบันไดหิน ระหว่างนั้นได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ทำให้ตัวเค้าถูกไหม้เกรียมเป็นสีดำ ในขณะที่รังสีทำให้พื้นหินเป็นสีขาว คงเหลือแค่รอยก้นบนพื้นหิน ที่เค้านั่งทับไว้เท่านั้น

นี่เป็นอีกภาพหนึ่งที่ได้มาจากในพิพิธพัณฑ์ ขอบอกว่าหลอนมากๆ ให้ลองเดาดูว่าเป็นภาพอะไร ............



นี่คือภาพของฝนสีดำบนฝาผนังสีขาว หลังเหตุการณ์ atomic bomb แม่เจ้า... มันมีผลกระทบถึงขนาดนี้หรอเนี่ยะ !!!!
หลังออกมาจาก museum เราได้เดินไปยัง Hiroshima castle ซึ่งระหว่างทาง เราพบตั้นยูคาลิปตัสต้นหนึ่งที่โคนเป็นสีดำและมีไม้ค้ำ ลุงคาโต้บอกว่า ต้นนี้เป็นต้นไม้ไม่กี่ต้นที่มีชีวิตอยู่หลังการ Bomb ครั้งนั้น พอเดินต่อไปอีกกน่อย เจอผนังก้อนหิน ซึ่งมีสีดำๆบางส่วน ลุงคาโต้บอกว่า อันนี้ก็เป็นร่องรอยของระเบิดเช่นกัน (แอบรูสึกโชคดีมากที่ได้มากับไกด์วัย 70 แต่แข็งแรงมากคนนี้ เพราะถ้ามาเอง คงจะไม่ได้รู้ หรือสังเกตสิ่งพวกนี้เลย)


No comments:

Post a Comment